วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนยังเวียนวน

ปีนี้คืนสู่เหย้าของโรงเรียนเตรียมฯเป็นวันที่ 6 กุมภาฯครับ

ความรู้สึกของปีนี้เหมือนกับว่าไม่ได้นัดพวกเพื่อนๆเท่าไหร่เลย ถ้าเป็นปีก่อนๆเวลาผมเดินไปในมหาลัยฯแล้วเจอเพื่อน เพื่อนก็จะถามว่าไปมั้ยๆ มันก็เลยรู้สึกเหมือนกับว่ามีคนไปงานเยอะ แต่ปีนี้ผมไม่ค่อยได้เจอเพื่อนเก่าเลยครับ ที่เจอก็สองสามคนแต่ก็ยังดีที่ทุกคนบอกว่าจะไป และก่อนหน้าที่จะมีงานซักเดือนผมได้เจอกับไอ้ภูมิครับ (เจอได้ไงหว่า???) ก็บอกมันว่าคืนสู่เหย้ามีวันที่ 6 มันก็บอกว่ามันจะไป แล้วก็เจอไอ้ฟาร์ในเอ็มผมก็ชวนมันไป มันก็บอกว่าจะไปเหมือนกัน ก็อย่างน้อยมีเพื่อนมาแน่ๆสองคน แต่พอวันจริงโทรไปหาไอ้ภูมิตอนบ่ายๆมันกลับบอกว่ามันจำไม่ได้ว่างานมีวันนี้เลยนัดเพื่อนไปเที่ยวแล้ว เซ็งเลยครับผม แต่ไม่เป็นไร หวังว่าเพื่อนคนอื่นคงจะมากันเยอะๆนะ (แอบกลัวว่ามีผมกับฟาร์ไปกันแค่สองคน)

เนื่องจากวันนั้นผมต้องไปงาน NSC ที่สยามพารากอนครับ (เรื่องงานนี้เดี๋ยวเล่าให้ฟังวันหลัง) งานนี้กว่าจะเลิกก็ทุ่มกว่าๆครับ พอเลิกงานเสร็จผมก็ไปหาป๊อปที่มาบุญครอง เพราะว่าผมกับป๊อปโทรนัดกันตอนกลางวันครับ พอเจอป๊อปเราสองคนก็เดินกันไปเตรียมฯ ระหว่างทางก็ถามสารทุกข์สุขดิบกัน "ช่วงนี้เป็นไงบ้าง" "โปรเจกต์เป็นไง" "ทำงานหรือเรียนต่อ" ก็คุยกันไปเรื่อยๆจนถึงเตรียมฯครับ

อย่างที่บอกไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าปีนี้ผมรู้สึก(ไปเอง)ว่าไม่น่าจะมีคนมางานเยอะ ก็แอบกลัวๆเหมือนกันว่าไปถึงงานจะไม่เจอเพื่อน แต่ป๊อปบอกผมว่ากล้วยมาตั้งแต่สี่โมงแล้ว และเพื่อนๆก็นั่งกันอยู่ที่โต๊ะรุ่น 63 (ไม่ใช่รุ่นผมนะ ผมรุ่น 65) ได้ยินคำว่าเพื่อนๆก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อย คงจะมีคนมาพอสมควรสิหน่า

เข้าไปถึงงานก็เจอเพื่อนเยอะพอสมควรเลยครับ แต่กว่าผมจะไปถึงก็สองทุ่มแล้ว ตอนเดินไปที่โต๊ะนี่เพื่อนบางคนก็กำลังจะกลับแล้ว (เซ็งนิดๆ) โดนเพื่อนทักเลยครับว่ามาทำไม เค้ากำลังจะกลับกันแล้ว ฮ่าๆ
ผมก็ทักทายเพื่อนที่เจอตามประสาครับ แหม เพื่อนผู้หญิงแต่ละคนนี่น่ารักขึ้นกันทุกคนเลย ฮ่าๆ น่าเสียดายมากๆที่ไม่ได้เอากล้องไป

ปีนี้มีผิดคาดนิดนึงด้วยครับว่า
. . .
. . .
โยมางานคืนสู่เหย้าด้วย โห รอมาต้องสองปีแหนะ (ฮ่าๆ พูดไปนั่น) โยยังเหมือนเดิมเลยแฮะ (แปลว่าอะไรเนี่ย ฮ่าๆ) ก็อยากจะเข้าไปคุยด้วยอยู่หรอกนะ แต่ไม่รู้จะคุยอะไรนี่สิ เหอๆ

ในงานผมก็นั่งคุยกับเพื่อนเก่ากันครับ แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นทรพ.กับไอ้แก๊ปนั่งกันอยู่สองคน มันสองคนก็เรียกผมเข้าไปนั่งด้วยครับ เข้าไปถึงมันก็บ่นๆว่ามันเหงา พวกเพื่อนเก่ามันไม่ค่อยมีใครมา เออ น่าเห็นใจเป็นบ้าเลย คืนสู่เหย้าทั้งทีแต่เพื่อนไม่มากัน นี่ถ้าผมมาคืนสู่เหย้าแล้วไม่เจอเพื่อนนี่คิดว่าผมก็คงหดหู่พอควรเลยครับ ผมก็นั่งคุยกับพวกมันซักพักแล้วค่อยกลับเข้าไปหาเพื่อนเก่า

มางานนี้ผมได้ตั๋วฟรีจากน้องมาครับ เลยชวนไอ้ฟาร์ไปแลกอาหารกัน (ก็โยเดินไปแลกอาหารมากินกับเพื่อนคนอื่นไปแล้ว ฮือๆๆ) เลยต้องเดินกินกับไอ้ฟาร์สองคน (เศร้าจริงๆ) เดินอยู่ซักพักก็เจอพวกน้องๆเข้ามาขายของครับ ผมคิดว่าไหนๆก็ไหนช่วยน้องเค้าหน่อยก็ดีเหมือนกัน ก็เลยตัดสินใจซื้อสายรัดข้อมือมาเส้นนึงครับ เป็นสายหนังสีขาวมีตัวอักษรว่า TU ประดับอยู่ ราคาก็ 50 บาทครับ คุยๆกับน้องเค้าเค้าก็บอกว่ามาจากศิลป์เยอร์ครับ มาขายหาเงินไปรับน้อง อดแปลกใจไม่ได้นะเนี่ยว่ารับน้องสมัยนี้มันต้องใช้เงินเยอะขนาดต้องมาขายของกันเลยเหรอ!!! ยังกับมหาลัยแหนะ แล้วก็ซื้อโปสต์การ์ดเตรียมฯมาชุดนึง (มันมีทั้งหมด 3 ชุด)

เดินรอบงานเสร็จผมก็กลับมาที่โต๊ะครับ ปรากฎว่าเพื่อนๆหายไปกันหมดแล้ว ฮ่วย
ก็เลยโทรหาป๊อปครับ ป๊อปก็บอกว่าเค้ากำลังไปสยามกัน ยังไม่แน่ว่าจะไปกินข้าวกันที่ไหน กำลังตัดสินใจอยู่ ผมกับฟาร์ก็เลยขึ้นรถไปสยามกัน (รถฟรีสำหรับงานคืนสู่เหย้า)

พอมาถึงสยามก็ได้ความว่าเค้าอยู่กันที่แมคสยามพารากอน เอ่อ ที่เดียวกับปีที่แล้วเลยนี่หว่า แล้วก็แอบเซ็งนิดๆว่าตอนกลางวันผมก็มากินข้าวที่นี่ครับ กินเบอเกอร์ไปสองอัน ตอนกลางคืนจะมากินอีกนี่ไม่ไหวแล้วนะเนี่ย แต่ไม่เป็นไรกินมาจากในงานจนอิ่มอยู่แล้ว ไปนั่งคุยเฉยๆก็ได้

มาถึงร้านเราก็นั่งคุยอะไรกันเรื่อยๆเปื่อยๆไปครับ คุยถึงแต่ละคนนั่นแหละ ไอ้ฟาร์กับปิ๊งก็มาโชว์การรายงานโรคครับ โดยมีผมเป็นตัวอย่างผู้ป่วย
"ผู้ป่วยชายไทย โสด มาเข้ารับการรักษาด้วยอาการอกหัก หาแฟนไมได้ ..." มันสองคนก็นั่งรายงานโรคไปหัวเราะไป เออ ขำจริงๆนะพวกมึง
แล้วซักพักมันก็โชว์วิธีตรวจชีพจรกันโดยมีผมเป็นตัวทดลองอีกนั่นแหละ ไอ้ฟาร์กับไอ้ปิ๊งก็นั่งเถียงกันว่าชีพจรผมมันเท่าไหร่กันแน่ (สงสัยจะหัวใจเต้นแรงเพราะ ...)
แล้วคุยกันไปคุยกันมา ไม่รู้อยู่ดีมาคุยถึงเรื่องแต่งงานได้ไง โยก็บอกว่าโยจะแต่งงานตอนอายุสามสิบ และมีลูกตอนอายุสามสิบห้า ไม่งั้นเดี๋ยวลูกที่คลอดมาจะสุขภาพไม่ดีเพราะ %#$%!@&*&# อะไรก็ไม่รู้ผมฟังไม่รู้เรื่อง แล้วพวกหมอก็นั่งเถียงกันเรื่องนี้ครับ ปล่อยให้ผมนั่งเอ๋อ ส่วนเรื่องแต่งงานสำหรับผมนั้นผมแต่งตอนอายุเท่าไหร่ก็ได้ครับแต่ขอแฟนอายุ 18 ละกัน ฮ่าๆ ล้อเล่นนะครับ ล้อเล่น
เฮ่อ ว่าแต่คุยเรื่องนี้แล้วเครียดจริงๆ แค่แฟนจะหาได้รึปล่าวยังไม่รู้เลยนับประสาอะไรกับแต่งงาน

นั่งคุยกันอยู่ ไอ้ฟาร์ก็หยิบโปสต์การ์ดเตรียมฯที่มันซื้อมาออกมาดูแล้วก็ส่งให้คนอื่นดู (มันซื้อมาสามชุดเลย) โยก็ดูโปสต์การ์ดใบนึงแล้วก็บอกว่าสวยดีขอได้มั้ย ไอ้ฟาร์ก็บ่นๆว่าใบนั้นสวยสุดของชุดแล้วไม่ค่อยอยากให้เท่าไหร่ ผมได้ฟังก็นั่งภาวนาให้โปสต์การ์ดใบที่โยอยากได้อยู่ในชุดที่ผมซื้อมาด้วยเถิด เพี้ยง จะได้เอามาให้โย แล้วก็ปรากฎว่าไอ้ใบนั้นที่โยอยากได้มันอยู่ในชุดที่ผมซื้อ ก็เลยยกให้โยไปครับ (พระเอกมั้ยหละ)

พอนั่งคุยกันไปซักสี่ทุ่มครึ่งพวกศิริราชก็ต้องกลับกันแล้ว วงสนทนาก็เลยเป็นอันต้องยุติ พวกเราก็แยกย้ายกันกลับครับ ตอนกลับโยก็บ่นๆว่าไม่รู้จะกลับไงดี เดินหรือนั่งแท๊กซี่ไปดี? ไอ้ผมก็ภาวนาให้โยต้องกลับคนเดียว จะได้ไปส่ง แต่ปรากฎว่าลั่นหล้าก็กลับทางเดียวกับโยครับ ผมเลยอดไปส่งเลย

และก่อนกลับพวกเราก็กำชับกันครับว่าถ้าถึงงานรับปริญญาใครต้องโทรมาชวนนะ อยากไปงานรับปริญญาเพื่อนๆ แล้วก็แยกย้ายกันกลับตามปกติสุข

คืนสู่เหย้าปีนี้ก็หมดเพียงแค่นี้ครับ

ปล.[0] คืนสู่เหย้านี่มันสุดยอดจริงๆ
ปล.[1] ถ่ายรูปคู่นี่มันก็สุดยอดจริงๆเหมือนกัน
ปล.[2] งานรับปริญญาจะมีใครมาบ้างหนอ

3 ความคิดเห็น:

  1. สุโค่ย

    นี่แหละของดีที่ซ่อนอยู่ :D

    ตอบลบ
  2. เข้าได้แล้ว เย่!

    ไม่ต้องเป็นห่วงนะ เราไปงานรับปริญญานายแน่

    ตอบลบ
  3. โอ้ รู้สึกเหมือนพบสมบัติ ที่ถูกคนอื่นพบไปแล้ว

    ตอบลบ