วันศุกร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2551

ตามหาหนังสือที่อ่านแล้วมีความสุข แต่กลับเจอคนที่มีความสุขกับงานที่ทำ

อย่างที่บอกไปในหลายๆครั้งแล้วครับว่าตอนนี้ผมกำลังอยากอ่านนิยายโรแมนติกคอมเมดี้อยู่(และต้องเขียนโดยนักเขียนตะวันตกด้วยนะ อีกอย่างถ้าเป็นไปได้เป็นคนอเมริกันด้วยยิ่งดี) อาทิตย์นี้ผมก็เลยแวะไปหอสมุดกลางหรือไม่ก็ร้านหนังสือบ่อยเป็นพิเศษครับ(เพราะว่าผมต้องไปมหาลัยทุกวันครับ เลยสามารถแวะก่อนกลับบ้านได้)

ซึ่งร้านหนังสือที่ผมแวะดูก่อนกลับบ้านถ้าไม่ใช่ศูนย์หนังสือจุฬาฯก็ดอกหญ้าที่อนุสาวรีย์ครับ แล้วศูนย์หนังสือจุฬาที่สยามนั้นเคยไปดูกับไอ้ฟามาแล้ว ซึ่งไอ้หนังสือแนวที่ผมต้องการมีไม่ค่อยมากเท่าไหร่ ไม่ใช่สิ ก็มีมากแหละครับแนวโรแมนติกคอมเมดี้เนี่ย แต่ไอ้ที่เป็นหนังสือแปลตะวันตกหนะไม่ค่อยมี ที่เห็นก็มีแต่ของไทยหรือไม่ก็ของเกาหลีครับ ส่วนที่หอสมุดกลางนั้นก็เหมือนกันครับ มีไม่ค่อยเยอะ(หรือผมหาไม่เจอเองก็ไม่รู้)

แล้วเมื่อวานนี้ผมก็ลองเดินไปที่ศูนย์หนังสือจุฬาฯศาลาพระเกี้ยวดูครับ ก็ไปดูหนังสือย่างเดิมนั่นแหละ แล้วก็เจอหนังสือเรื่องที่ถูกใจเรื่องนึงจนได้ เป็นเรื่องรักคอมเมดี้ แถมคนแต่งยังเป็นคนอเมริกันอีกแหนะ : ) แต่ยังไม่ได้ซื้อครับ เพราะคิดไปคิดมาเดี๋ยวก็มีงานหนังสือแล้ว รอไปซื้อที่งานหนังสือทีเดียวดีกว่า มีส่วนลดด้วย -*- ก็รู้แหละครับว่า ความคิดแบบนี้เป็นสิ่งไม่ดี(ไม่ควรเอาอย่าง) เพราะถ้าทุกคนคิดแบบนี้กันหมด สุดท้ายแล้วร้านหนังสือก็ขาดรายได้และอาจต้องปิดกิจการไป(แล้วเรื่องนี้เคยเป็นที่ถกเถียงกันอยู่เหมือนกันว่า งานหนังสือมีผลกระทบต่อร้านรายย่อยหรือปล่าว) แต่ว่าตอนนี้ผมอยากได้หนังสือหลายเรื่องอยู่ครับส่วนลดนิดหน่อยก็มารวมๆกันพอซื้อเรื่องใหม่ได้เรื่องนึง เพราะงั้นก็เลยยังไม่ได้ซื้อครับ รองานหนังสือทีเดียวเลย

พอดูหนังสือเสร็จก็เดินไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้คืน นึกออกมั้ยครับ ก่อนเข้าร้านหนังสือบางร้านเค้าบังคับให้ลูกค้าฝากกระเป๋าก่อน ก็เอากระเป๋าไปฝากแล้วเค้าก็ให้ป้ายมาอันนึง พอก่อนกลับก็เอาป้ายไปให้คืนแล้วก็ให้ของกลับมาครับ(จะอธิบายทำไมวะเรา เค้ารู้จักกันทุกคนอยู่แล้ว) ก็ตอนที่ผมเดินไปที่เคาท์เตอร์ฝากของ มีลูกค้าศูนย์หนังสือกำลังเอาของคืนอยู่คนนึง เจ้าหน้าที่รับฝากของก็หยิบของคืนให้ลูกค้าคนนั้นครับ แล้วพอคืนของให้เสร็จเจ้าหน้าที่ก็ยกมือไหว้ขอบคุณลูกค้าคนนั้นด้วย O_O อะไรจะมารยาทดีขนาดนั้น ตอนแรกผมก็คิดว่าบางทีเค้าอาจจะรู้จักกันมาก่อน เจ้าหน้าที่รับฝากของเลยยกมือไหว้ แต่ดูท่าทางแล้วเหมือนจะไม่ใช่แฮะ ดูเหมือนเค้าเต็มใจที่จะทำมากกว่า หน้าตาเค้ายิ้มแย้มต้อนรับลูกค้าดี พอเห็นแล้วรู้สึกสะเทือนใจไงไม่รู้ เค้าเป็นแค่เจ้าหน้าที่รับฝากของแต่ท่าทางเค้าพอใจในงานที่ทำมากครับ ผมก็ไม่รู้หรอกนะครับว่าเงินเดือนของเค้าจะเท่าไหร่แต่เดาว่าคงไม่มากนัก ถ้าเป็นผมตัวผมเองมาทำงานนี้ก็ทำส่งๆไปแหละ ไม่มัวมามีมารยาทขนาดนี้หรอก ทำแค่ไม่โดนไล่ออกก็พอแล้ว -*- แต่เจ้าหน้าที่คนนั้นไม่ได้คิดเหมือนผมครับ เค้าคงคิดว่าเมื่อได้มาทำงานแล้วก็ต้องทำให้ดีที่สุด ถึงแม้ว่างานนั้นจะไม่ใช่งานที่สำคัญอะไรนักหนาก็ตาม(มั้งนะ ผมคิดเอาเอง) พอคิดได้แบบนั้นก็รู้สึกแย่ยังไงไม่รู้ นึกถึงตัวเองตอนทำงานที่บ้านเลย ขนาดเป็นร้านของแม่ผมเองแท้ๆผมยังไม่ได้ใส่ใจขนาดนี้เลย บางครั้งก็หน้างอใส่ลูกค้าอีก : (

พอคิดได้แบบนี้ผมก็คิดว่าพอผมรับกระเป๋าแล้วเดี๋ยวจะขอบคุณเค้าซักหน่อยเป็นการตอบแทน : ) แต่ก็ปรากฎว่าพอผมกำลังจะพูดเค้าก็ชิงขอบคุณผมก่อนครับ แล้วก็ยังบอกผมว่าขอให้ผมโชคดีอีกแหนะ โห ทำงานคุ้มค่าจ้างจริงๆครับ

พอเห็นแบบนั้นผมก็คิดว่าเค้าคงเป็นคนที่มีความสุขกับการทำงาน ไม่ได้หมายความว่าเค้าทำงานแล้วมีความสุขนะครับ แต่หมายความว่าเค้าทำตัวเองให้มีความสุขกับงานที่เค้าทำ(งงมั้ย) ไม่รู้สิว่าจริงรึปล่าว แต่ผมคิดอย่างนั้นนะ บางทีคนเราคงต้องทำงานที่ตัวเองไม่ชอบบ้างแหละ

แล้ววันนี้ผมก็ไปที่ศูนย์หนังสืออีกรอบครับ ไปดูชื่อหนังสือที่จะซื้อ เพื่อไปซื้อในงานหนังสือ ตอนผมไปเอากระเป๋าคืนก็เป็นเหมือนเมื่อวานครับ เจ้าหน้าที่คนนั้นก็ขอบคุณผมแล้วก็ขอให้ผมโชคดีเหมือนเดิม : )

แหม ดีจังนะครับ ผมก็อยากเป็นคนที่มีความสุขกับงานที่ทำบ้างจัง

3 ความคิดเห็น:

  1. เปล่า...ซะเมื่อไหร่
    พูดเลียนแบบ
    สอบเสร็จแล้ว(ซะที่ใหนกันหละว้อย)

    ตอบลบ
  2. คลิกผิดเรื่องน่ะ
    จะคอมเมนท์ต่อในเรื่อง"ชีวิตผมก็โชคดีอยู่แล้ว"

    สำหรับเรื่องนี้ก็รู้สึกดีกับผู้ที่ให้บริการประชาชนด้วยความเต็มใจและเป็นมิตร...อยากให้หน่วยงานต่าง ๆ มีเจ้าหน้าที่ที่เต็มใจให้บริการอย่างนี้เยอะ ๆ

    ตอบลบ
  3. ชีวิตคนเก็บประเป๋าเค้าก็โชคดีอยู่แล้ว

    ตอบลบ